· 2 min read

ฝึกฟรีไดฟ์ยังไงไม่ให้ Overtrain!? 🤔 ใช้ Resting Heart Rate กับ HRV สิ 🏊‍♂️

เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกฟรีไดฟ์และป้องกันการฝึกหนักเกินไป ด้วยการใช้ Resting Heart Rate (RHR) และ Heart Rate Variability (HRV) เป็นตัววัด!

เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกฟรีไดฟ์และป้องกันการฝึกหนักเกินไป ด้วยการใช้ Resting Heart Rate (RHR) และ Heart Rate Variability (HRV) เป็นตัววัด!

จะเก่งฟรีไดฟ์ได้ ต้องรู้จักบาลานซ์ระหว่างการฝึกหนัก กับการพักผ่อน บล็อกนี้จะพาไปดูกันว่า นักดำน้ำฟรีไดฟ์จะเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกซ้อม และป้องกันการฝึกหนักเกินไปได้ยังไง โดยใช้ Resting Heart Rate (RHR) และ Heart Rate Variability (HRV) เป็นตัววัด!

Overtrain คืออะไร

Overtrain คือการที่เราฝึกแล้วแทนมี่ร่างกายควรจะพัฒนามากขึ้น กับกลายเป็น performance แย่ลงกว่าเดิม 😓 เพราะฝึกหนักเกินไปจนร่างกายล่าและซ่อมแซมไม่ทัน

ฝึกยังไงให้ปัง? 🏋️‍♀️

การฝึกฟรีไดฟ์ที่ดีที่สุดคือการหาจุดสมดุลระหว่างการท้าทายขีดจำกัดของร่างกาย เพื่อพัฒนาตัวเอง และการพักฟื้นเพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนล้าเกินไป การฝึกควรจะทำให้เราออกจากคอมฟอร์ทโซนบ้าง แต่ไม่ใช่หนักหน่วงแบบทรมานขนาดทำให้ร่างกายต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน หรือเสี่ยงต่อการบาดเจ็บนะจ๊ะ

Resting Heart Rate (RHR) และ Heart Rate Variability (HRV) สำคัญกับการฝึกยังไง?

Resting Heart Rate (RHR) ❤️

Resting Heart Rate (RHR) คือ จำนวนครั้งที่หัวใจเต้นใน 1 นาที ขณะที่เราพักผ่อน เป็นตัวบ่งชี้ที่ง่ายและได้ผลในการบอกประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด และสุขภาพโดยรวมของเรา สำหรับนักกีฬาหลายๆ คน รวมถึงนักดำน้ำฟรีไดฟ์ด้วย ยิ่ง RHR ต่ำ ยิ่งดี แสดงว่าหัวใจแข็งแรง!

จะวัด RHR ได้ยังไง?

  • วัดตอนเช้า: เวลาที่ดีที่สุดในการวัด RHR คือตอนเช้าหลังตื่นนอนทันที ก่อนลุกจากเตียง
  • ใช้อุปกรณ์: เราสามารถใช้เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ นาฬิกาสมาร์ทวอทช์ หรือจะนับชีพจรเองที่ข้อมือก็ได้
  • วัดสม่ำเสมอ: ควรวัด RHR ในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ

Heart Rate Variability (HRV) 📈

Heart Rate Variability (HRV) คือ ช่วงเวลาระหว่างการเต้นของหัวใจแต่ละครั้ง มันแสดงถึงความสมดุลระหว่างระบบประสาท Sympathetic (สู้หรือหนี) และ Parasympathetic (พักผ่อนและย่อยอาหาร) ยิ่ง HRV สูง ยิ่งดี แสดงว่าร่างกายเรามีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นตัวและประสิทธิภาพในการดำน้ำ

จะวัด HRV ได้ยังไง?

  • ใช้แอปหรืออุปกรณ์: มีแอปมากมายที่ช่วยวัด HRV ได้ เช่น
    1. Download App HRV4training
    2. ถ้าอยากได้แม่นยำหน่อยก็ลองซื้อ Polar H10 Cheststrap ดู วัดแม่นๆมากเลยตัว
    3. ถ้าอยากได้ Smart Watch เพื่อใช้ทำอย่่างอื่นด้วยก็ Apple Watch และ ก็ Garmin บางรุ่นใช้วัด HRV ได้
  • วัดตอนเช้า: เช่นเดียวกับ RHR การวัด HRV ในตอนเช้าเป็นเวลาที่ดีที่สุด
  • วัดสม่ำเสมอ: ควรวัดทุกวันในเวลาเดียวกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

ทำไมต้องคอยเช็ค RHR และ HRV?

สัญญาณเตือนภัย! ร่างกายกำลังแย่ ⚠️

ทั้ง RHR และ HRV สามารถเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าได้ว่าร่างกายเรากำลังฝึกหนักเกินไป ถ้า RHR สูงขึ้น หรือ HRV ต่ำลง แสดงว่าร่างกายเรากำลังเครียด และอาจต้องการเวลาพักฟื้นมากกว่าเดิม

  • RHR สูง: ถ้าหลังจากการฝึกหนัก แล้วตื่นเช้ามาพบว่า RHR สูงกว่าปกติ แสดงว่าร่างกายเรายังอยู่ในช่วงฟื้นฟู แนะนำให้พักไปก่อน หรือ ฝึกให้เบาลง
  • HRV ต่ำ: ถ้า HRV ต่ำลงแบบกะทันหัน แสดงว่าระบบประสาทกำลังทำงานหนักเกินไป ควรลดความเข้มข้นในการฝึกลง

ฝึกยังไงให้พีค! 🏋️‍♂️

การตรวจสอบ RHR และ HRV เป็นประจำ จะช่วยให้เราวางแผนการฝึกได้อย่างเหมาะสม

  • ปรับแผนการฝึก: ถ้า RHR สูงหรือ HRV ต่ำ ลองปรับแผนเป็นการพักฟื้นเบาๆ เช่น วิ่งเหยาะๆ หรือปั่นจักรยานชิลๆ
  • ติดตามความก้าวหน้า: บันทึก RHR และ HRV ไว้ทุกวัน จะช่วยให้เราเห็นพัฒนาการของตัวเอง และปรับแผนการฝึกได้ดียิ่งขึ้น

สร้างกิจวัตรประจำวัน สำหรับนักดำน้ำฟรีไดฟ์ 🌅

กิจวัตรยามเช้า

การมีกิจวัตรประจำวันจะช่วยให้การฝึกซ้อมและการฟื้นตัวมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือตัวอย่างกิจวัตรยามเช้า 15 นาทีสำหรับนักดำน้ำฟรีไดฟ์:

  1. วัด HRV: ใช้แอปหรืออุปกรณ์วัด HRV
  2. กลั้นหายใจ 1 ครั้ง พร้อมกับวัดค่าออกซิเจน: บันทึกเวลาที่กลั้นหายใจ และระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (SaO2)
  3. นั่งสมาธิ หรือฝึกหายใจแบบโยคะ 5 นาที: ช่วยทำให้จิตใจและร่างกายสงบ ผ่อนคลาย
  4. ยืดกล้ามเนื้อซี่โครงด้านข้างและด้านหลัง 5 นาที: ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของซี่โครง

ตัวอย่างกิจวัตรยามเช้าแบบบ้านๆ

  1. ลากตัวเองลุกจากเตียง
  2. วัด HRV ต่อเลย
  3. กินอาหารเช้า
  4. ยืดเส้นยืดสาย 15 นาที

ฝึกยังไงให้ปัง? ต้องสมดุล! ⚖️

ความเข้มข้นในการฝึก

ความเข้มข้นในการฝึกที่ดีที่สุดควรอยู่ระหว่างความสบายและความท้าทาย ควรจะท้าทายมากพอที่จะกระตุ้นให้ร่างกายพัฒนาขึ้น แต่ไม่หนักหน่วงเกินไปจนร่างกายฟื้นตัวช้า สิ่งสำคัญคือต้องเปลี่ยนความเข้มข้นในการฝึกอยู่เสมอ และให้เวลาร่างกายได้พักฟื้นอย่างเพียงพอ

  • ความถี่: ถ้าฝึกทุกวัน ควรฝึกในระดับปานกลาง ถ้าฝึกไม่บ่อย (เช่น สัปดาห์ละสองครั้ง) ความเข้มข้นในการฝึกอาจจะมากขึ้นได้
  • ค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้น: ค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นในการฝึกทีละน้อย เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัวและพัฒนาขึ้น

Periodization และ Tapering

สำหรับนักกีฬาที่จริงจัง หรือต้องการฝึกฝนในระดับสูงขึ้นไป การฝึกแบบ Periodization และ Tapering อาจเป็นประโยชน์

  • Periodization: เป็นการเพิ่มและลดความเข้มข้นในการฝึกอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ร่างกายมีช่วงเวลาในการฝึกหนักและฟื้นตัวสลับกันไป
  • Tapering: เป็นการลดปริมาณการฝึกลงก่อนการแข่งขัน เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่และพร้อมสำหรับการแข่งขัน

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย และวิธีหลีกเลี่ยง 🚫

ฝึกหนักเกินไป ระวังร่างพัง!

การฝึกหนักเกินไปเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในหมู่นักกีฬา อาจนำไปสู่อาการเหนื่อยล้า Overtrain ประสิทธิภาพในการฝึกลดลง และเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

  • อาการ: RHR สูง HRV ต่ำ อ่อนเพลียเรื้อรัง และทนต่อภาวะขาดออกซิเจนได้น้อยลง
  • วิธีป้องกัน: หมั่นตรวจสอบ RHR และ HRV กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และปรับความเข้มข้นในการฝึกตามสภาพร่างกาย

อ่อนเพลีย เหมือนแบตหมด

ความเหนื่อยล้าทำให้เราทนต่อภาวะขาดออกซิเจนได้น้อยลง เกิดได้จากการฝึกหนักเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอ กินอาหารไม่ครบ หรือ นอนไม่หลับ

  • วิธีจัดการ: ปรับการฝึกตามสภาพร่างกาย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และพักผ่อนให้เพียงพอ

สรุป 🏁

การตรวจสอบ RHR และ HRV ช่วยให้เรารู้ว่าร่างกายของเรามีปฏิกิริยาต่อการฝึกซ้อมอย่างไร และต้องการการฟื้นฟูมากน้อยแค่ไหน การวัดผลทั้งสองอย่างนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน จะช่วยให้เราฝึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการฝึกหนักเกินไป และพัฒนาประสิทธิภาพในการดำน้ำฟรีไดฟ์ได้ดียิ่งขึ้น จำไว้ว่า เป้าหมายของเราคือการฝึกอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่ฝึกหนักจนร่างกายพัง ฟังเสียงร่างกายของเรา ปรับเปลี่ยนการฝึกให้เหมาะสม และสนุกไปกับการเดินทางสู่ใต้มหาสมุทร 🌊

Back to Blog